วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิวัฒนาการโหราศาสตร์ของโลก บทที่ 2 ยุคแรกแห่งโหราศาสตร์

บทที่ 2. ยุคแรกแห่งโหราศาสตร์

                    จากปฐมบทที่แล้ว  เราจะเห็นถึงความฉลาดของมนุษย์ ที่จะพยายามเอาชนะปัญหาต่างๆ ซึ่งนำมาก่อให้เกิด ปัญญา อย่างมากมายมหาศาล  ทำให้เรารู้จักดวงอาทิตย์ ลูกไฟดวงใหญ่ที่ให้แสงสว่าง และความอบอุ่นแก่พื้นโลก บนท้องฟ้าที่มีแต่กลุ่มเมฆ ลอยเป็นเพื่อนอยู่     และเราก็ได้รู้จัก ดวงจันทร์  ลูกไฟดวงใหญ่อีกดวงที่ให้แสงสว่างนุ่มนวล  บางเวลาก็นำทางในยามมืดมิดได้  บางเวลาก็นำมาซึ่งความมืดสนิทเสียเอง แต่ก็ยังคงให้พลังงานแห่งความอบอุ่นอย่างแผ่วเบา อ่อนโยน และมาพร้อมกับผองเพื่อนดวงดาวเล็ก ๆ นับแสนล้านดวงที่มีจำนวนมากมายมหาศาลบนผืนผ้าสีดำที่เราให้สมญานามว่า “จักรวาล” ในเวลาต่อมา
             จากวัฎจักรแห่งการเปลี่ยนแปลงของวัตถุบนท้องฟ้า  ก็นำมาซึ่งการสังเกตปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมากมายบนท้องฟ้า เช่น  ดาวหาง ผีพุ่งใต้  ราหูอมจันทร์ หรือ จันทรุปราคา  สุริยุปราคา  คืนพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเรียกว่าเดือนเพ็ญ  และคืนที่ไร้พระจันทร์ เรียกว่า เดือนดับ  เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ก็จะนำมาพร้อมกับภัยพิบัติบางอย่างแก่สรรพชีวิตบนพื้นโลก ทำให้มนุษย์เกิดความหวาดกลัว และพยายามหาทางที่จะขจัดปัดเป่าให้สิ้นไป

           เมื่อประมาณ 7000 – 8000 ปี  ดินแดนลุ่มน้ำแห่งแม่น้ำ ไทกรีซ (Tigris) และแม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates)เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของ ชาวบาบิโลเนียน และ ชาวอัสซิเรียน  
            ชาวบาบิโลนเนียน ได้แบ่งออกเป็น สองยุค คือยุคเก่า และยุคใหม่   ในสมัยอาณาจักรบาบิโลเนียยุคเก่า เริ่มอ่อนแอ ถูกพวก ฮิตไทด์ (Hittite) ซึ่งอพยพมาจากทางเหนือและใต้ (เทือกเขาซากรอส ) เข้าปล้นสะดมเมื่อ 1590ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาพวกฮิตไทต์ก็เสียอำนาจให้แก่พวกคัสไซต์และ เข้าครอบครองกรุงบาบิโลนเป็นเวลาถึง 400 ปี


 แม่น้ำไทกริส ช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่เกษตรกรรมนอกเมืองดิยาร์บากิอร์ ประเทศตรุกี

                                          
แม่นำ้ยูเฟรทีส (Euphrates) ในประเทศอิรัก  
                 อาณาจักรบาบิโลเนียใหม่เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมาก ในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ (Nebuchadnezzar, 605-562 ปีก่อนคริสต์ศักราช) พวกคาลเดียนสามารถยกกองทัพไปตีได้เมืองเยรูซาเลม และกวาดต้อนเชลยชาวยิวมายังกรุงบาบิโลนได้เป็นจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการสร้างสวนขนาดใหญ่เรียกว่า สวนลอยแห่งบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณเพราะสามารถใช้ความรู้ในการทำชลประทาน  ทำให้สวนลอยนี้เขียวขจีได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้นพวกคาลเดียนในบาบิโลเนียใหม่ยังปรับปรุงด้านเกษตรกรรม และเริ่มต้นงานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางดาราศาสตร์   เกิดจากการสังเกตเงาที่เกิดขึ้นในรอบวัน  จึงนำการเกิดเงา มาใช้ในการบอกเวลา  โดยกำหนดให้ 1 วันมี 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นชั่วโมงแรก  และได้มีการแบ่งสัปดาห์ออกเป็น 7 วัน แบ่งวันออกเป็น 12 คาบ คาบละ 120 นาที  พร้อมกับสังเกตุเห็นการขึ้นลงของดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้า  เคลื่อนย้ายตำแหน่งขึ้น และลง แตกต่างกันในแต่ละฤดู จึงนำมาเป็นตัวกำหนดฤดูกาลเก็บเกี่ยวให้สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์อีกด้วย

ด้วยความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะอุปสรรค ก็ให้เกิดปัญญา และ องค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกสรรพสิ่งบนพื้นโลก จากการสังเกตดวงลูกไฟใหญ่ที่ให้แสงสว่าง และความอบอุ่น  เป็นแหล่งก่อให้เกิดสรรพชีวิตขึ้นมากมาย เล็งเห็นความสำคัญของเจ้าลูกไฟดวงใหญ่ดวงนี้ จึงเรียกเจ้าลูกไฟใหญ่นี้ว่า  “ดวงอาทิตย์ ”  จึงได้มีการกำหนดวันเทศกาลต่าง ๆ   และฤดูการเก็บเกี่ยวได้แน่นอนขึ้นกว่าเดิม  อีกทั้งยังค้นพบปรากฎการณ์ธรรมชาติ ที่ดวงอาทิตย์ดับมืดไปในเวลากลางวัน  แล้วก็กลับสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาใกล้เคียง ซึ่งปัจจุบันเราเรียกว่า “สุริยุปราคา”  


    ขอบคุณ แหล่งข้อมูล

หลักสูตร “คัมภีร์สุริยยาตร์ ๒๕๕๐”ของมูลนิธิสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระสังฆราชูปถัมภ์  บรรยายโดย วรพล ไม้สน (พลังวัชร์)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น