บทที่ 2.1 "ยุคบาบิโลน "
จากบทที่ 2.
เมื่อชัยชนะของมนุษย์ที่มีต่อธรรมชาติเป็นผลสำเร็จ ก่อให้เกิดองค์ความรู้ต่าง ๆขึ้นมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นระบบการชลประทานซึ่งเป็นวิธีการเอาชนะธรรมชาติในการควบคุมดูแลจัดการน้ำให้เป็นไปตามความต้องการ ยังสามารถกำหนดฤดูกาลเก็บเกี่ยวเพื่อให้สอดคล้องกับภูมิอากาศที่เป็นอุปสรรคต่อคลังอาหารของมนุษย์ และยังได้มีการค้นพบรูปแบบงานจิตรกรรม เช่น กำแพงอิซต้า (The Ishtar Gate)
ซึ่งเป็นแผ่นกำแพงที่สวยงาม ทำจากกระเบื้องหลากสีและแกะสลักเป็นภาพสัตว์ประหลาด (ในตำนานเรียกว่ากริฟฟิน
(Griffin) ลำตัวและใบหน้าเป็นสิงห์โต มีปีกเป็นนกอินทรีย์ ซึ่งเป็นช่องทางนำไปสู่เทพเจ้า
(เทพเจ้ามาร์ดุ๊ก ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดแห่งบาบิโลน)
เพื่อเป็นทางนำไปสู่การขจัดปัดเป่าความหวาดกลัวให้สูญสิ้นไป
ภาพวาดสวนลอยบาบิโลน โดย มาเตน แวน ฮีมเสติร์ก(Maarten van Heemskerck) นักวาดภาพชาวฮอลันดา(ดัตช์)
เมื่อชาวคาลเดียนค้นพบความสำคัญของดวงอาทิตย์แล้ว
และจากลูกไฟใหญ่อีกดวงที่ให้ความสว่างแต่ไม่ได้ให้ความอบอุ่น
ก็ให้ชื่อเรียกขานกันว่า “ดวงจันทร์” และยังค้นพบการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของดวงจันทร์
ในแต่ละวัน เช่น
การเว้าแหว่งของดวงจันทร์
ดวงจันทร์สว่างสดใสเต็มดวง ซึ่งเรียกว่า จันทร์เพ็ญ และบางคืนมองไม่เห็นดวงจันทร์ในคืนเดือนมืด
ก็จะ เรียกว่า จันทร์ดับ ซึ่งรูปร่างต่างๆ
ของดวงจันทร์จะเปลี่ยนไปทุก ๆ 29 วันครึ่ง
หรือ นับเป็น 1 เดือน เกิดเป็นเช่นนี้ประจำ และยังได้พบว่า ดวงจันทร์ก็มีปรากฎการณ์ธรรมชาติเช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ ในคืนเดือนเพ็ญ ที่ดวงจันทร์เต็มดวงสว่างสดใส
ก็จะสังเกตเห็นได้ว่า ดวงจันทร์เริ่มเกิดการเว้าแหว่งขึ้นที่ละเล็กน้อย จนกระทั่งดวงจันทร์มืดมิดไปชั่วขณะ
นั่นก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกว่า “จันทรปุราคา” จึงได้คิดประดิษฐ์ปฎิทินจันทรคติขึ้น และคำนวณเวลาเกิดสุริยคราส และ จันทรคราส ตลอดจนการคำนวณเวลาการโคจรของดวงอาทิตย์ในรอบปีได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ยังสามารถหาเวลาที่ดวงจันทร์หมุนรอบโลก
ในบางคืน
ก็จะมีดวงดาวร่วงหล่นพรั่งพรูตกลงมาจากฟากฟ้าดุจเดียวกับฝนตก หรือ มีดาวทีมีหางยาวๆ
วิ่งพาดผ่านท้องฟ้าในยามราตรี สิ่งเหล่านี้
ถือเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติบนท้องฟ้า ที่ทำให้ก่อเกิดความสงสัยว่า
เป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติแก่สรรพชีวิตบนพื้นโลกหรือไม่
ปรากฎการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า ก็ให้เกิดการครอบงำให้เกิดความหวาดกลัว
และการพยายามหาทางขจัดปัดเป่าให้หมดไป จึงได้เกิดมีการสมมุติเทพขึ้น
และเริ่มมีกิจกรรมเกี่ยวกับพิธีกรรม เพื่อขอพรให้หมดสิ้นจากความหวาดกลัว
จากการค้นพบบันทึกต่างๆ
จะพบว่าชาวคาลเดียนเป็นผู้รับสืบทอดงานดาราศาสตร์มาจากสุเมเรียน นาบูริแมนนู (Naburiano or
Naburimannu) เป็นนักดาราศาสตร์ชาวคาลเดียน ผลงานที่ปรากฎคือ
สามารถคำนวณการนับเวลาในรอบ 1 ปี เท่ากับ 354 วัน 6 ชั่วโมง และได้รับการอุปถัมภ์ให้ดำเนินการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับดาราศาสตร์จาก
กษัตร์ดาริอุสที่หนึ่ง แห่งเปอร์เซีย( พระเจ้าดาไรอัส หรือ ดาริอุสมหาราช (549 - 486 ปีก่อนคริสตกาล)
ทรงเป็น มหาราชองค์ที่ 2 ต่อจาก พระเจ้าไซรัสมหาราช เป็นพระโอรสของเจ้าชายองค์หนึ่งใน ราชวงศ์อคีเมนียะห์ โดยทรงครองราชย์เมื่อ 522 ปี ก่อนค.ศ.
เมื่อพระชนม์ได้ 27 พรรษา)
และชาวคาลเดียน เป็นชาติแรกที่ริเริ่มนำดวงดาวเล็ก ๆ จำนวนมากมายมหาศาลบนท้องฟ้า มาจัดแบ่งออกเป็น
พวกที่มีแสงกระพริบ และ ไม่กระพริบ
ก็เกิดการจัดระบบระเบียบดวงดาวบนฟากฟ้า
ส่วนที่กระพริบได้ก็จัดเข้าเป็นกลุ่มดาวฤกษ์ แบ่งออกเป็น 12 กลุ่ม ตั้งชื่อเรียกตามรูปร่างลักษณะของสัตว์ที่เป็นที่รู้จักในเวลานั้น จึงมีคำกล่าวขานกลุ่มดาวฤกษ์นี้ว่า วงรูปสัตว์ (Zodiac = Zoo +
diac ) ซึ่งกลุ่มดาวฤกษ์เหล่านี้จะอยู่ในแถบสำคัญบนท้องฟ้า จึงแบ่งแถบนี้ออกได้ 12 ส่วน กลายเป็น “จักรราศี”
ซึ่งจะประกอบด้วย ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวที่ไม่กระพริบ ซึ่งเรียกว่า “ดาวเคราะห์”
จะเดินทางผ่านกลุ่มดาวฤกษ์ (กลุ่มพวกที่มีแสงกระพริบ)แต่ละกลุ่มโดยไม่ออกนอกเส้นทาง เราจะเรียกการเดินทางเช่นนี้ว่า ” การโคจรของดาว”
จึงเป็นที่มาของการนำความรู้ทางดาราศาสตร์
มาเป็นศาสตร์ใหม่ ที่ได้ชื่อว่า โหราศาสตร์
(Astrology) ซึ่งเป็นผลงานที่เด่นมาก
ซึ่งชาวคาลเดียลได้รับมาจากชาวสุเมเรียน
โดยกำหนดดวงดาวสำคัญขึ้นมา 7 ดวง ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร
ดาวพฤหัส และ ดาวเสาร์ (นี่คือกลุ่มดาวที่ไม่มีแสงกระพริบ) โดยกำหนดให้ดาวทั้ง 7 ดวงนี้
เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ ได้มีการตั้งชื่อเทพให้เป็นชื่อของวันต่างๆ
ในหนึ่งสัปดาห์
และนำมาวางรากฐานเพื่อนำมาใช้ในการทำนายโชคชะตาของมนุษย์
ขอบคุณ แหล่งข้อมูล
ขอบคุณ แหล่งข้อมูล
หลักสูตร “คัมภีร์สุริยยาตร์ ๒๕๕๐”ของมูลนิธิสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระสังฆราชูปถัมภ์ บรรยายโดย วรพล ไม้สน (พลังวัชร์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น